24.8.51

ก้าวที่สองของน้องตรัย

กลางชิน ลูกรัก> > วันนี้ก็เช่นกันแม่เร่ิมพาน้องตรัยไปหาหมอ อีกครั้งหนึ่งชื่อว่า หมอจอม ฟังแล้วอย่าเพิ่งตกใจนะครับ เพราะชื่อเสียงของ> > หมอนั้น เป็นจิตแพทย์เด็ก ถ้าเดาไม่ผิดก้ใช่แล้วครับเพราะน้องตรัยมีปัญหาเกีี่ยวกับอาการทางประสาทนิดหนี่ง หรือก้คือ> > มีอาการเข้าข่ายของโรค ออทิสติก นั่นเองไอ้เจ้าชื่อโรคที่น่ากลัวนี้เท่าที่คนทั่วไปรู้จักมันจะน่าตาน่ากลัวมาก โดยที่ไม่่ได้เจาะ> > ลึกลงไปเลยว่ามันมีหลายระดับ มหลายสาเหตุ หลายอาการ แม่เองก็เช่นกัน ก่อนหน้่าที่จะเร่ิมสังเกตอาการของน้องตรัย แม่> > ก็คิดเข้าข้างตัวเองเสมอว่าจะเป็นไปได้ไงเพราะลูกชั้นไม่ได้ หน้าตาน่ากลัว อาการก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนที่เคยได้รู้จัก เคยได้ยิน> > ได้ฟังมา แต่พอมาเริ่มสังเกตอาการของน้องตรัยก๋เริ่มรู้ว่า มันน่าจะมีหลายระดับ หลากอาการแตกต่างกันออกไป เพราะ> > เมื่อยอมรับกับตังเองว่าตรัยเริ่มเข้าข่ายก็รู้สีกว่ามัีนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ไม่ได้รุนแรงอย่างที่เห็น ไม่ได้หนักจนแก้ไขไม่ได้> > แล้วแม่ก็เชื่อด้วยว่า ด้วยอาการที่ตรัยเป็นอยู่ พวกเราสามารุถที่จะช่วยกันแก้ไข และปรับปรุงได้อย่างไม่ลำบากอะไรเลยแถมอะไร> > รู้มัยแม่ก็ยังรู้สึกว่าตรัยมันก็น่ารักเหมือนเดิม และไอ้เจ้าอาการที่ว่าก็น่ารักตามเจ้าตรัยไปด้วย ไม่ว่าเจ้าตรัยมันจะส่งเสียงสำเนียง> > เป็นภาษามะนาวต่างดุด(ที่แสนจะไพเราะ สำหรับแม่) หรือมันจะเอะอะโวยวาย ร้องให้ฟูมฟายน้ำตาไหลราด จูงมือจูงแขนกาหมา> > หรือไก่หรือจะอะไรก็ตาม เออนะ มันกีแปลกดี> > > แต่อันหนึ่งที่แม่เองลืมนึกถึงไปว่า ตัวแม่เองนั้น ด้วยการที่ตำรงตำแหน่งแม่บ้านมาเป็นเวลานาน(จริง ๆ แล้วมันก็คือคนที่ขึ้> > เกียจไม่ยอมทำงานต้องอาศัยคนอื่นเค้ากิน หรืออาศัยบุญลูกโดยเกาะสามีกินนั่นแหละหรืออีกนัยหนื่งก็คือแม่บ้านอันทรงคุณค่า> > ที่ต้องขึ้นหิ้งไว้บูชา)ก็เลยไม่ได้มีการคบค้าสมาคมกับผู้ใด นอกจากกลุ่มแม่บ้านด้วยกัน ไม่มีกลุ่มพ่อค้ามาสนับสนุน ไม่มีกลุ่มเซลล์> > มากราบไหว้บูชา ไม่มีกลุ่มคนต้องมาขอขมาลาโทษ(ขอโทษครับขอค่ำปรึกษา) ไม่มีกลุ่มเพื่อนเพื่อเอาไว้รักษาหน้่าตา ก็เลยไม่รู้สึก> > โกรธหรืออายหรือต้องหาสาเหตุที่มันเป็นมา หรือเกิดขัึ้น นี่พูดุถึงตัวแม่เองนะ จากความรู้สึกของแม่เอง แต่ขณะเดียวกันแม่ก็ ลืมไป> > ว่า พ่อนั้นตรงข้ามกับแม่ทุกอย่าง พ่อเริ่มมีชื่อเสียง เริ่มมีกลุ่มสังคมที่นับหน้าถือตา เร่ิมต้องมีผู้ติดตามทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งเสาร์> > อาทิตย์แม้กระทั่งวันหยุดราชการ แม่ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อจะรู้สึกยังไง มีความคิดยังไง ตรงกันกับแม่มั้ย ขณะที่ทางแก้ของแม่นั้่นคื่อ> > นอกเหนือจากการที่น้องตรัยต้องเข้ารับการบำบัดแล้วนั้น อะไรที่แม่ทำได้เช่น กลุ่มเพื่อนที่ให้คำแนะนำเรื่องของอาการหรือ หมอ> > การถามหรือพูดคุยกับคนที่มีประสบการณื หรือกระทั่งการที่พยายามจะให้ทุกคนในครอบครัวโดยที่แม่เป็นหลักเข้ามามีส่วนร่วม> > ตรงนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเวลา (ลูกอย่าได้มองว่าก็แน่แหละเพราะเป็นน่าท่ี่ของแม่ )ที่ต้องให้น้องอย่างเป็นประจำสม่ำเสมอ> > เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ แม่เร่ิมเกิดอาการลังเลเพราะไม่แน่ใจว่าพ่อจะให้ความร่วมมือกับแม่มั้ย ให้โดยสมำเสมอเป็นประจำ แม่ไม่รู้เหมือนกัน> > ว่าเรียกร้องมากไปหรือเปล่า หรือจะมองเหมือนกับเป็นทุกเรื่องราวที่เกิด ขึ้นในครอบครัวเราที่ไม่ได้มีอะไรสำคัญไปกว่าสิ่งอื่นที่ต้องทำ > > แม่เริ่มเดาใจพ่อไม่ได้แต่สิ่งหนึ่งทที่อยากเห็นมันเกิดก็ืคือ ไม่อยากให้ใครก็ตามทำอะไรเพียงเพื่อรู้สักว่า มันต้องทำเพราะคือหน้า> > ที่ คือความรับผิดชอบที่ต้องมีคือสปิริต ฟังดูแล้วมันอาจจะเลวร้ายนะ หากการที่คนในครอบครัวร่วมกัันทีอะไรก็ตาม ที่มันไม่ได้เกิดจาก> > ความรัก ความรู้สัก แต่ต้องเกิดขึ้นเพียงเพราะหน้าที่และความรับผิดชอบ เท่่านั้น แต่แม่กลับคิดว่า ถ้าเราได้พูดคุยกันก่อนุถึงเรื่องของ> > การแบ่งปันเวลา การแบ่งหรือแชร์ความรู้สึก ก่อนที่จะรูสึกว่าทุกอย่างมันกลายเป็นภาระ > > สิ่งหนึ่งที่แม่อยากจะบอกกับลูกทั้ง 2 ในวันนี้ก้คือ แม่รู้สึกดีนะกับการที่เราเริ่มมองปํญหาน้องตรัยออกเร่ิ่มยอมรับว่าน้องมีปัญหา> > และเริ่มที่จะหาทางแก้ไข ให้กับน้องไม่ว่ามันจะต้องใช้เวลามากน้อย หรืออาจจะยังไม่ตรงจุดจีิง ๆ แต่อย่างน้อยวันนี้ ตรัยก็คงจะดีใจ> > ที่ไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป เพราะรู้แล้วว่าพวกเราทุก ๆ คนเร่ิมขยับเท้าวิ่งตามน้องตรับไป เร่ิมเอียงหูเพื่อเข้ามาฟังน้องตรับพูด เริ่มที่> > เรียนรู้เรื่องราวโดยผ่านภาษากาย ภาษาใจ ผ่านการสัมผัสมากขี้นถึงแม้ไม่ว่ามันจะใช้เวลานานแต่ไหนก็ตามใช่มั้ยครับ> > > จาก วันนี้ ตรัยน้อยจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อแล้วครับ> > > รักลูกทุกคนครับ> > ป.ล. เที่ยวสนุกยังไงก็อย่าลืมน้องตรัยกับแม่นะครับ> > > > แม่กับตรัยน้อย(ผู้วิเศษ)> > >

ไม่มีความคิดเห็น: